บทที่ 6
เขาคิดว่าตัวเองเป็นใครกันวะ
ผมน่าจะกระทืบเท้าออกจากห้องนั่นไปซะ ปิดประตูกระแทกใส่หน้าเขา แล้วบอกให้เขาเอาคลิปบอร์ดนั่นไปยัด...
แต่ผมก็ไม่ได้ทำ
กลับกัน ผมเดินออกมาอย่างกับทหารน้อยผู้ว่านอนสอนง่าย เชิดหน้า หูแดงก่ำ ส่วนหัวใจก็เต้นสะดุดกึกกักน่ารำคาญ...อาการที่จะเป็นก็ต่อเมื่ออยู่ใกล้เขาเท่านั้น น้ำเสียงนั่น...ที่มันไล้ไปทั่วผิวแล้วฝังลึกลงในกระดูกสันหลังเหมือนตะขอ—ผมเกลียดมัน ผมเกลียดที่ตัวเองดันชอบมัน
มิสเตอร์เอทำผมปั่นป่วนไปหมด
ผมเพ้อฝันถึงเขามาหลายสัปดาห์ ฝันว่าได้อยู่ใต้มือของเขา ได้ฟังน้ำเสียงของเขา ได้ยอมสละการควบคุมที่ผมไม่อยากจะยอมรับด้วยซ้ำว่าตัวเองยึดติดอยู่ ผมโหยหาทุกสิ่งที่เขาหยิบยื่นให้ ทุกคำสัญญาอันดำมืดที่เขากระซิบผ่านแชตยามดึก
แต่เรื่องนี้? การโหยหาโค้ชเมอร์เซอร์? มันต่างออกไป
มันอันตราย
แต่ถึงอย่างนั้น... ทุกครั้งที่เขาสั่งผม ทุกครั้งที่เขามองผมเหมือนเป็นสิ่งที่ต้องปั้นแต่ง—ผมก็รู้สึก แรงดึงดูดที่แสนต่ำตมและไม่น่าอภิรมย์นั่น ความร้อนรุ่มนั่น
และใช่ ส่วนหนึ่งในใจผมยังคงสงสัย ยังคงคาดเดาในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ ถ้าพวกเขาเป็นคนคนเดียวกันล่ะ? ถ้ามิสเตอร์เอกับโค้ชเป็นแค่สองชื่อของดวงตาสีเทาคมกริบคู่เดียวกันล่ะ?
ถ้ามันเป็นเรื่องจริง ผมก็ฉิบหายอย่างสมบูรณ์แบบ
ผมลากสังขารตัวเองลงจากเตียงเร็วกว่าที่ควร ยังไงผมก็นอนไม่ค่อยหลับอยู่แล้ว ในหัวผมเหมือนสนามรบ ส่วนร่างกายยิ่งแล้วใหญ่
หกโมงเช้าตรงเป๊ะ ผมก็มาอยู่ที่ยิมของโรงแรม ระดมแรงวิ่งบนลู่วิ่งไฟฟ้า พยายามขับไล่ทุกความคิดบ้าๆ ที่ไม่ควรจะคิดออกไปกับเหงื่อ ผมมาที่นี่เพื่อเล่นฟุตบอล—ไม่ใช่มาหมกมุ่นกับฟิฟตี้เชดส์บ้าบออะไรนี่ ผมไม่ได้ชอบผู้ชาย ผมไม่ต้องการดอม ผมไม่ต้องการให้โค้ชเมอร์เซอร์มาบอกว่าต้องคิด หายใจ หรือทำตัวยังไง
แต่ถึงอย่างนั้น...
อกผมก็พลันบีบแน่นเมื่อได้ยินเสียงประตูยิมเปิดออก
ผมเหลือบมองขึ้นไป
เขาเดินเข้ามาดุจพายุในชุดสีดำ เนื้อตัวยังหมาดๆ จากการอาบน้ำ ผมเผ้ายุ่งเหยิง กลิ่นตัวหอมเหมือนมินต์และอำนาจ สายตาของเขากวาดมองผม ช้าๆ อย่างประเมิน
แววตาของเขาวาบประกายแห่งความพึงพอใจ
เด็กดี
เขาไม่ได้พูดออกมา แต่ก็ไม่จำเป็น ผมรู้สึกได้ทั่วทุกอณูของผิวหนัง
แล้วให้ตายสิ—หัวใจผมก็เต้นผิดจังหวะอีกครั้ง
เขาเดินไปยังโซนเวตอย่างเชื่องช้าและจงใจ ราวกับเป็นเจ้าของสถานที่แห่งนี้ ราวกับเป็นเจ้าของตัวผม หยิบคลิปบอร์ดขึ้นมา เคาะกับฝ่ามือหนึ่งครั้ง แล้วมองมาที่ผมเหมือนผมคือสิ่งต่อไปที่เขาตั้งใจจะ ‘ทำลาย’
“ลงจากลู่วิ่ง”
ผมเกือบจะกลอกตา—แต่ก็ไม่ได้ทำ ไม่ใช่ตอนที่เห็นแววตาพราวระยับนั่น ไม่ใช่ตอนที่ร่างกายผมกระตุกราวกับชอบใจที่ถูกพูดสั่งแบบนั้น
ผมชะลอสายพานแล้วก้าวลง ใช้ผ้าขนหนูที่พาดบ่าซับเหงื่อจากลำคอ
“วอร์มอัปจบแล้ว” เขาพูด “ถึงเวลาฝึกส่วนที่สำคัญจริงๆ แล้ว”
ผมกลืนน้ำลายอย่างยากลำบาก “อะไรครับ กล้ามท้องเหรอ”
ริมฝีปากเขากระตุก—เพียงพอที่จะดูอันตราย “การควบคุม”
ก่อนที่ผมจะได้ถามว่ามันหมายความว่ายังไง เขาก็โยนยางยืดออกกำลังกายมาให้แล้วชี้ไปที่พื้น “ท่าแพลงก์ ค้างไว้หนึ่งนาที พอฉันสั่งให้เปลี่ยน นายต้องคลานไปสเตชันถัดไป ถ้านายพักก่อนที่ฉันจะสั่ง—ก้นของนายได้เริ่มใหม่หมด”
อกผมบีบแน่น “เอาจริงดิครับ”
สายตาของเขาลดต่ำลงไปที่ช่วงเอวของผมเพียงชั่วครู่ แล้วค่อยๆ เลื่อนกลับขึ้นมา “ฉันดูเหมือนกำลังเล่นอยู่หรือไง เบลค”
ไม่เลย เขาไม่ได้ดูเหมือนเลยสักนิด
ผมทิ้งตัวลงทำท่าแพลงก์ กัดฟันข่มเสียงคราง ทุกอณูในร่างกายผมกรีดร้องจากความเหนื่อยล้าในการเดินทางเมื่อวาน จากความตึงเครียด จากการที่ผมหยุดคิดถึงเขา—พวกเขา—ไม่ได้ แล้วตอนนี้เขายังจะมาทรมานผมด้วยเรื่องนี้อีกเหรอ
“หนึ่งนาที” เขาพูดเรียบๆ พลางก้าวเข้ามาใกล้ “ถ้าสะดุ้ง เริ่มใหม่ ถ้าล้ม เพิ่มวิดพื้น ถ้าปากดี…”
เขาปล่อยให้ประโยคนั้นค้างอยู่กลางอากาศ ไม่พูดต่อจนจบ
แต่ผมรู้สึกได้ถึงตอนจบของมัน
แกจะโดนลงโทษ
แขนผมสั่น เหงื่อหยดจากหน้าผากลงบนเบาะ กล้ามเนื้อผมแสบร้อน...เช่นเดียวกับความคิด
เขาเดินวนรอบตัวผมช้าๆ เหมือนนักล่ากำลังประเมินเหยื่อ สงบนิ่ง เงียบขรึม และเปี่ยมไปด้วยอำนาจ ผมรู้สึกได้ว่าเขากำลังจับตามองท่าทางของผม ความตึงเกร็งบนแผ่นหลัง และอาการกระตุกของมือยามที่ผมอยากจะยอมแพ้แต่ก็ไม่ทำ
“ชอบให้คนอื่นสั่งสินะเรา”
เสียงเขาทุ้มต่ำและแฝงความพึงพอใจดังมาจากด้านหลัง ผมขบกรามแน่น
“ไม่ครับ ผมไม่ชอบ”
หยุดไปชั่วครู่
“ถึงได้แข็งขนาดนี้ไง”
ฉิบหาย ผมชะงักงัน “ผมไม่ได้แข็ง”
แต่ผมแข็ง ผมรู้สึกได้ว่ามันเริ่มจะตุบๆ อยู่ในกางเกงในของผม
“อืม” เขาเดินกลับมาเผชิญหน้าผมอีกครั้ง กอดอก “แน่ใจเหรอ”
ผมหลบตาลง ขบฟันแน่นขณะที่เสียงนาฬิกาจับเวลาในโทรศัพท์ของเขาส่งเสียงบี๊บ
“เปลี่ยนท่า” เขาพูดเสียงเย็นเยียบและคมกริบ
ผมคลานไปยังสถานีถัดไป ทั้งอัปยศอดสู ทั้งมีอารมณ์
เขาไม่หยุด ลังก์ วอลล์ซิท ยกแขนด้วยยางยืดบ้าๆ นั่นที่ให้ความรู้สึกเหมือนไฟนรกหลังจากผ่านไปสิบวินาที ทุกครั้งที่ผมเริ่มจะทนไม่ไหว เขาก็จะอยู่ตรงนั้น...คอยแก้ท่า เยาะเย้ย และจับจ้องมองผม
ผมเหงื่อท่วม ตัวสั่นสะท้าน
“ลำบากหน่อยไหมล่ะ ก็อยากได้แบบนี้เองไม่ใช่เหรอ” เขาพูด ณ จุดหนึ่ง น้ำเสียงของเขาราวกับเหล็กกล้าหุ้มกำมะหยี่ “นั่นคือเหตุผลที่นายมาอยู่ที่นี่”
ผมกัดฟันกรอด “คุณเป็นคนพาผมมา”
รอยยิ้มมุมปากของเขาเหยียดยิ่งขึ้นขณะเดินวนไปด้านหลังผมอีกครั้ง “ก็ใช่ไง ในฐานะผู้ช่วยของฉัน จำได้ไหม แต่นายไม่ใช่เลขาฯ กระจอกๆ ของฉัน ใช่รึเปล่า นายเป็นผู้เล่น และนายอยากจะเสียเหงื่อ ถูกต้องไหม งั้นฉันจะทำให้นายเหงื่อแตกซ่กเลย”
ผมไม่ขยับ ไม่สามารถขยับได้ ขาของผมค้างอยู่ในท่าวอลล์ซิท กล้ามเนื้อสั่นระริก ลมหายใจหอบตื้น
“จะบอกอะไรให้ฟังนะไอ้หนู” เขาพูดเสียงเบาชิดใบหูผม “นับจากนี้ไป ฉันจะจับตาดูนาย อย่างใกล้ชิด ฉันจะผลักดันนาย แก้ไขนาย ควบคุมสิ่งที่นายกิน วิธีที่นายหลับ วิธีที่นายฝึกซ้อม...และวิธีที่นายตอบสนอง”
อกผมบีบแน่น เขาไม่ได้ตะคอก ไม่ได้โกรธ เขาไม่จำเป็นต้องทำแบบนั้นเลย
“ฉันจะขยี้สลายตัวตนนายทีละชิ้น ทีละส่วน” เขาพูดพลางเดินวนมาเผชิญหน้า “ไม่ใช่เพื่อทำลายนายนะเบลค...แต่เพื่อสร้างนายให้เป็นผู้ชายในแบบที่นายกลัวเกินกว่าจะเป็น”
ดวงตาของเขาแผดเผาเข้ามาในตาผม
“วินัย การควบคุม การเชื่อฟัง นั่นคือสิ่งที่แบ่งแยกผู้เล่นออกจากผู้นำ และอย่าได้เข้าใจผิดไปล่ะ...” เสียงเขาต่ำลง ทุ้มลึกและดำมืด “ฉันจะนำทางนายไปถึงจุดนั้น แม้ว่าจะต้องลากนายไปก็ตาม”
ผมไม่ได้พูดอะไรสักคำ
ผมพูดไม่ออก
เพราะส่วนหนึ่งในใจผมอยากจะสู้กลับ
และอีกส่วนหนึ่งอยากจะทรุดลงคุกเข่าแล้วพูดว่า ได้โปรดเถอะครับ
แต่ผมก็ไม่ได้ทำทั้งสองอย่าง
เข่าผมแทบจะทรุดลงกับพื้นขณะที่ผมฝืนดันตัวเองหนักขึ้น เพียงเพื่อจะพิสูจน์ให้เขาเห็นว่าการจะทำลายผมให้แหลกสลายนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ในความเป็นจริง ผมมองเห็นรอยร้าวเล็กๆ ใต้เปลือกนอกที่สั่นคลอนของตัวเองแล้ว
กว่าเราจะฝึกกันเสร็จ ผมก็ชุ่มโชกไปด้วยเหงื่อ กล้ามเนื้อสั่นสะท้าน ศักดิ์ศรีแหลกเป็นชิ้นๆ...และไม่รู้ทำไม ทั้งหมดที่ผมคิดถึงได้ก็คือเขา
วิธีที่เขามองผม วิธีที่เขาพูดกับผม วิธีที่เขามองทะลุปรุโปร่งเข้ามาในตัวผม
ผมมาที่นี่เพื่อจะเป็นควอเตอร์แบ็ก
แต่ผมเริ่มจะคิดแล้วว่าเขามีอย่างอื่นในใจที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง









































































































